วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โจ๋มินิคูเปอร์ซิ่งชนแหลกมอบตัวแล้ว

จากกรณี น.ส.โชติกา ประสาทโสภณ อายุ 22 ปี  น.ศ.ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ถูกรถยนต์มินิคูเปอร์ป้ายแดง พุ่งชน ขณะที่ลงไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนกันบนสะพานพระราม 9 เมื่อคืนวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยผู้ขับรถยนต์มินิคูเปอร์ได้หลบหนีไป ภายหลังเจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่ารถคันที่ก่อเหตุมีชื่อของ นางหงษ์ แซ่ลี่ อายุ 81 ปี เป็นเจ้าของ ส่วนคนขับรถในวันเกิดเหตุ คือ นายเติ้ล (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี ผู้เป็นหลานชาย ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้่น
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 5 มิ.ย. ที่ สน.ทางด่วน 1 นางหงษ์ แซ่ลี่ อายุ 81 ปี เจ้าของรถมินิคูเปอร์สีแดง ได้พานายเติ้ล (นามสมมติ)อายุ 18 ปี หลานชาย และเป็นคนขับรถมินิคูเปอร์ในวันเกิดเหตุ พร้อมด้วย นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ เดินทางเข้ามอบตัวกับ พ.ต.ท.กันตภณ สินธวาชีวะ พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทางด่วน 1 เจ้าของคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายเติ้ล จะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนนั้น นายไรวินทร์ ประสาทโสภณ อายุ 24 ปี ลูกพี่ลูกน้องของ น.ส.โชติกา ได้เข้าไปคว้าคอนายเติ้ลจากทางด้านหลัง พร้อมกับพูดต่อว่าด้วยความโกรธแค้น ทำให้นายเติ้ลหันมาชกเข้าที่ใบหน้าของนายไรวินทร์ไป 1 ครั้ง จนเกิดเหตุชุลมุนขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ามาแยกคู่กรณีทั้งคู่ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย จากนั้นจึงรีบนำตัวนายเติ้ล เข้าห้องสอบสวนทันที
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เชิญญาติของผู้บาดเจ็บทั้ง 4 คน เข้าไปในห้องสอบสวนเพื่อให้นายเติ้ล นำพวงมาลัยมาก้มกราบเท้าขอขมาทีละคน จากนั้นนายเติ้ลพร้อมทีมทนายความ ได้ออกมายกมือไหว้ขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมกล่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากขอโทษผู้บาดเจ็บทั้งหมดด้วย ตนขอยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจและไม่มีเจตนาที่จะก่อเหตุแต่อย่างใด แต่เป็นอุบัติเหตุที่ตนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และวันเกิดเหตุตนก็ไม่ได้มึนเมาสุราแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากนี้ก็ขอปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
ด้าน พ.ต.ท.กันตภณ พนักงานสอบสวน เจ้าของคดี กล่าวว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นคนขับรถมินิคูเปอร์สีแดงในวันเกิดเหตุจริง เพราะมองไม่เห็นว่ามีรถเกิดอุบัติเหตุอยู่ข้างหน้า จึงทำให้ชนกลุ่มผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว หลังเกิดเหตุเจ้าตัวได้ขับรถหลบหนีไปเพราะความตกใจ เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาขับขี่รถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและได้รับบาดเจ็บสาหัส ,ขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาต และหลบหนีไม่อยู่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ ก่อนนำตัวส่งสถานพินิจต่อไป ซึ่งหลังจากนี้ก็เป็นดุลยพินิจของทางสถานพินิจว่า จะให้ประกันตัวหรือไม่
จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวญาติของผู้ได้รับบาดเจ็บ เข้าไปเจรจาเรื่องค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียหาย กับทนายความ และผู้แทนจากบริษัทธนชาตประกันภัย จนได้ข้อสรุปว่า ทางธนชาตประกันภัยซึ่งรถมินิคูเปอร์คู่กรณีทำ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จะทำการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นให้คนเจ็บทุกรายก่อนในวงเงินรายละ 50,000 บาท หากมีคนเจ็บรายไหนต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลมากกว่านั้น ทางบริษัทวิริยะประกันภัย ซึ่งรถมินิคูเปอร์ซื้อประกันภัยประเภท 1 เอาไว้ จะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนต่างที่เหลือ สำหรับ นางหงษ์ แซ่ลี่ อายุ 81 ปี อาม่าของผู้ต้องหาก็ได้นำเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจำนวนหนึ่งมามอบให้ญาติของผู้บาดเจ็บทุกรายที่โรงพักในวันนี้ด้วย สรุปคือผลการเจรจาวันนี้ค่อนข้างมีผลลัพธ์ที่น่าพอใจแก่ทุกฝ่าย.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น